บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

"ผมจำได้ว่ามีแสงวาบ ๆ คล้ายแสงคาไลโดสโคปเข้าตา จนแสบตาจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย“

เมื่อคาลัม แมคโดนัลด์ ชายหนุ่มชาวอังกฤษวัย 23 ปี เดินทางมาถึงชายแดนเวียดนาม เขาอ่านเอกสารราชการที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือ "แสงวูบวาบหลากสี"

เขาเพิ่งลงจากรถบัสที่เดินทางข้ามคืนพร้อมเพื่อน ๆ จากวังเวียง เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในลาว ก่อนหน้านี้คาลัมและกลุ่มเพื่อนพักอยู่ที่โฮสเทลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีวิสกี้และวอดก้าช็อตแจกฟรีให้กับแขก โดยคาลัมผสมวิสกี้และวอดก้าช็อตกับเครื่องดื่มในคืนที่ผ่านมา

จนกระทั่งถึงจุดผ่านแดนแห่งนั้น เขาจึงสงสัยว่าสายตาอาจมีปัญหาบางอย่าง คาลัมจึงกล่าวเพื่อน ๆ ของเขา
"ผมจำได้ว่ามีแสงวาบ ๆ คล้ายแสงคาไลโดสโคปเข้าตา จนแสบตาจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย“

พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่ามันแปลก แต่คิดว่าเกิดจากอาหารเป็นพิษ และแสงที่ผมเห็นน่าจะเป็นความไวต่อแสงบางอย่าง เขากล่าวในรายการบีบีซี เบรคฟาสต์ (BBC Breakfast) จริงๆคือสัญญาณจากการตายของเซลล์ปมประสาทจอประสาทตาและ demyelination retrobulbar ของเส้นประสาทตาคะ

แต่เมื่อพวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางในเวียดนาม ก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างร้ายแรง
"เรานั่งอยู่ในห้องพักโรงแรม เพื่อนของผมแล้วก็ผม และผมก็พูดกับพวกเขาว่า 'ทำไมเราต้องนั่งอยู่ในที่มืดด้วย ใครก็ได้เปิดไฟที'" แต่ตอนนั้นไฟทุกดวงเปิดอยู่

เรื่องน่าเศร้าที่ฟังแล้วสะเทือนใจ ตอนนี้คาลัม วัย 23 ปี ตาบอดถาวรแล้ว กำลังเล่าเรื่องราวของเขาเป็นครั้งแรก เขาเป็นหนึ่งในเหยื่อหลายรายที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มเหล้าเถื่อนที่ผสมเมทานอลและบางคนก็เสียชีวิตจากพิษเมทานอลในเมืองวังเวียง เมื่อเดือน พ.ย. 2024 

มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดย 2 รายเป็นคนรู้จักของคาลัม ซึ่งเป็นสาวชาวเดนมาร์กที่เขาพบในคืนหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดพักอยู่ที่ นานา แบ็คแพ็คเกอร์ โฮสเทล ประเทศลาว

เมทิลแอลกอฮอล์(เมทานอล)เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะผ่านเอนไซม์ แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส(Alcohol Dehydrogenase)เปลี่ยนเป็นฟอร์มาลดีไฮด์(รูปแบบของเหลวเรียกว่าฟอร์มาลีน)ซึ่งเป็นสารพิษรุนแรง จากนั้นจะถูกเปลี่ยนต่อไปเป็นกรดฟอร์มิก (formic acid) ซึ่งเป็นสารหลักที่ทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย เช่น อาการตาพร่ามัว สูญเสียการมองเห็น อาจมองไม่เห็นหรือเห็นผิดปกติทั้งสองข้าง ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย สับสน มึนงง หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic acidosis) เกิดอาการชักเกร็งทั้งตัว หมดสติ และเสียชีวิต

นักต้มเหล้าเถื่อนมักเติมเมทานอล(ที่มีราคาถูกกว่าเอทานอลเพื่อลดต้นทุน)สำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งพบได้ในสีทาบ้านและสารเคลือบเงา ลงไปในเหล้าเถื่อนเพื่อทำให้เหล้าต้มมีดีกรีแอลกอฮอล์สูงขึ้น แม้มีสารประกอบดังกล่าวในเหล้าปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำลายส่วนต่าง ๆ ของระบบประสาทส่วนกลางได้อย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้ตาบอดถาวร แม้แต่ระบบการแพทย์สมัยใหม่ที่พัฒนาไปไกล ก็ไม่อาจกอบกู้สายตาของผู้ป่วยที่ดื่มเหล้าเถื่อน ให้กลับมาดีดังเดิมได้

ในกรณีปกติเมื่อดื่มเหล้าที่ผลิตตามมาตรฐาน ร่างกายจะเปลี่ยนแอลกอฮอล์เป็นสารที่ชื่อว่า อะเซทัลดีไฮด์(acetaldehyde)ซึ่งเป็นสารที่ทำลายเซลล์ตับโดยตรง 

ช่วงแรกๆเซลล์ตับจะพยายามซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นแทนเนื้อเยื่อตับที่เสียหาย หากยังคงดื่มต่อเนื่องเมื่อวันเวลาผ่านไป เซลล์ตับที่งอกใหม่เริ่มทำได้น้อยลงเพราะเต็มไปด้วยพังผืด กระบวนการนี้จะนําไปสู่ปริมาณเนื้อเยื่อแผลเป็นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนขัดขวางการไหลเวียนของเลือดผ่านตับ ส่งผลให้ตับอักเสบและพัฒนาเป็นภาวะตับแข็งได้ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน

โรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ มักเกิดขึ้นในผู้ที่ดื่มหนักหน่วงติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกับโรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์นั้นไม่ชัดเจน ผู้ที่ดื่มหนักไม่ได้เป็นโรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ทุกคน และบางคนที่ดื่มน้อยกว่าก็เป็นโรคนี้เช่นกัน

คนส่วนใหญ่ที่มีอาการนี้ มักดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อยวันละ 7 แก้ว เป็นเวลา 20 ปีหรือมากกว่านั้น(หมายถึงไวน์ 7 แก้ว,เบียร์, 7 แก้ว หรือสุรา 7 ช็อต)




หมายเหตุ

1.เอทิลแอลกอฮอล์(เอทานอล)ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เจลล้างมือ ยา และน้ำยาทำความสะอาด 

2.เมทิลแอลกอฮอล์(เมทานอล)ใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เช่น สีทาไม้ น้ำมันเคลือบเงาและยาลอกสี 
ส่วนผสมในทินเนอร์และเป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเคมีอื่น ๆ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ พลาสติก ไบโอดีเซล มีฤทธิ์เป็นอันตรายสุดร้ายแรง พิษจากเมทานอลอาจทำให้ตาบอดหรือเสียชีวิตได้

3.เอทิลแอลกอฮอล์ มีแหล่งกำเนิดจากธรรมชาติ คือการนำพืชประเภท เช่น มันสำปะหลัง, มันเทศ, ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และพืชอีกชนิดที่ให้น้ำตาลได้อย่างอ้อย มาหมักให้แป้งเปลี่ยนเป็นน้ำตาล จากนั้นน้ำตาลจึงเปลี่ยนเป็นแอลกอฮฮล์ โดยใช้เอนไซม์หรือกรดบางชนิดช่วยย่อย เพื่อทำให้เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95% จนได้เอทิลแอลกอฮอล์

4.เมทิลแอลกอฮอล์ มีต้นกำเนิดจากกระบวนการกลั่นทางปิโตรเคมี ด้วยการสังเคราะห์ผ่านการเร่งปฏิกิริยาจากคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจน

5.การดื่มสุราอย่างหนัก เช่น ดื่ม 5 แก้วหรือมากกว่า ภายในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสำหรับผู้ชาย และ 4 แก้วหรือมากกว่าสำหรับผู้หญิง อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์










เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์


ที่มา :

https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/alcoholic-hepatitis/symptoms-causes/syc-20351388

https://www.bbc.com/thai/articles/c4gzxv9804zo

เมทานอล: เหล้าเถื่อนทำให้ถึงตายได้อย่างไร แอลกอฮอล์ ...BBChttps://www.bbc.com › thai › articles

Methanol Poisoning - MedLink Neurology MedLink Neurologyhttps://www.medlink.com › articles › methanol-poisoning

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิตามินบี12 กับระบบประสาทและสมองที่เกือบถูกลืม

คนเราเมื่อถึงวัยหนุ่มสาว ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพอะไรมากมายนัก ในความเป็นจริง ร่างกายมนุษย์แต่ละคนมีพันเอนไซม์ช่วยขับสามล้านปฏิกิริยาทางเคมีทุกวินาที หากใครนึกไม่ภาพไม่ออก อย่างผงซักฟอกนอกจากมีสารเคมีชะล้างทำความสะอาดแล้ว ยังมีการเติมเอนไซม์ลงในผงซักฟอกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระล้างคราบขนาดใหญ่ที่เกาะติดกับเส้นใยผ้า จะถูกเอนไซม์ย่อยสลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กแล้วหลุดออกจากเส้นใยผ้าได้ง่ายขึ้น

ส่วนมากมักเป็นเอนไซม์ประเภทโปรตีเอส(protease)ใช้สำหรับแช่ผ้าก่อนซักและใช้ซักผ้า เพื่อกำจัดคราบโปรตีน(เลือด)ออกจากผ้า  อะไมเลส(amylase)ใช้กำจัดคราบแป้งติดแน่นบนเนื้อผ้า และไลเปส(lipase)เพื่อกำจัดคราบไขมันบนเนื้อผ้า เอนไซม์ที่พบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนใหญ่สกัดจากแบคทีเรียและเชื้อรา

ระบบย่อยอาหารเหล่านี้เสมือนฟันเฟืองเล็กๆในร่างกายที่ช่วยให้ผู้คนสุขภาพดี มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคและลดการอักเสบต่างๆ
จนมีคำกล่าวว่า ภูมิคุ้มกันเริ่มสร้างที่ลำไส้(หลายคนแอบหัวเราะ แต่เป็นความจริง)แต่พออายุมากขึ้นประกอบกับความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ รวมถึงระบบย่อยอาหารทำงานลดลง วิตามินตามธรรมชาติที่เคยสังเคราะห์ได้เอง กลับไม่มีการสร้างขึ้นตามปกติ จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทและสมองอย่างมาก นั่นเอง

เรามักได้ยินคำว่า วิตามินบี12 ในเครื่องดื่มเพิ่มพลังงาน( energy drink)หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งผสมลงในอัตราส่วนน้อยนิดนั้น เมื่อเครื่องดื่มเคลื่อนตัวลงสู่ระบบทางเดินอาหารแล้ว จะดูดซึมได้ดีหรือไม่ ลองมาหาคำตอบกันนะคะ

วิตามินบี 12 มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า โคบาลามิน (Cobalamin) และแบ่งย่อยได้เป็นหลายชนิด เช่น ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) ไฮดรอกโซโคบาลามิน (Hydroxocobalamin) อะดีโนซิล โคบาลามิน (Adenosyl Cobalamin) หรือเมทิลโคบาลามิน (Methylcobalamin) แต่ชนิดที่นำมาใช้รักษาภาวะขาดวิตามินบี 12 มากที่สุด คือ ไซยาโนโคบาลามิน มักเป็นส่วนประกอบในวิตามินบีรวมหรือรวมอยู่ในวิตามินชนิดอื่น

วิตามินบี12 ( Cyanocobalamin ) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ในเชิงพาณิชย์ผลิตได้จากการหมักเชื้อแบคทีเรียโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม แตกตัวได้ไม่ดีนักในกระเพาะอาหาร ต้องรวมตัวกับแคลเซียมเพื่อให้ดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็กส่วนปลายที่เรียกว่า ileum 

การขาดวิตามินบี12 พบมากในผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยลง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

มีประโยชน์อย่างไร
1.ช่วยในกระบวนการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและป้องกันโรคโลหิตจางชนิด pernicious anemia ( โรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดวิตามินบี12 เนื่องจากขาดสาร intrinsic factor ซึ่งช่วยการดูดซึมวิตามินที่กระเพาะอาหาร )พบในสัตว์ทดลอง
2.ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและไขสันหลัง 
3.ช่วยเปลี่ยนสารอาหารที่รับประทานเข้าไปให้อยู่ในรูปของกลูโคสเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย
4.ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและความคิดเฉียบคม
5.บรรเทาความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิด
6.ช่วยรักษาภาวะขาดวิตามินบี 12 โดยการสร้างสารที่เรียกว่า "ไมอีลิน" สารนี้ทำหน้าที่หุ้มและปกป้องเส้นใยประสาท หากร่างกายมีโคบาลามินไม่เพียงพอ ปลอกไมอีลินจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีหรือคงสภาพดีได้(พบในสัตว์ทดลอง)
7.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
8.บรรเทาอาการปวดจากโรคเส้นประสาทอักเสบสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
9.ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
10.ลดภาวะซึมเศร้า
11.ลดภาวะปลายประสาทอักเสบ ( peripheral neuropathy ) คือ อาการรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเหมือนเข็มทิ่ม แสบร้อนบริเวณปลายเท้าจากโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปี 
13.หากรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 จะเป็นวิตามินที่เพิ่มพละกำลังได้อย่างดี

พบในเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะตับ ปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว ปลาร้าฯลฯ

อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี12(ยกเว้นอาหารหมักดอง)จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ในผู้ที่รับประทานมังสวิรัตน์ นั่นเอง

ถึงแม้จะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ แต่มีความพิเศษคือ ร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินบี12 ที่ตับได้นานถึง 3 ปี จนกว่าวิตามินจะถูกขับออกจากร่างกาย  ดังนั้นการขาดวิตามินบี12 มักปรากฎให้เห็นหลังจาก 5 ปีขึ้นไป

ปัจจุบันวิตามินบี 12 มีกรรมวิธีผลิตโดยเทคโนโลยีชั้นสูง เรียกว่า เมธิลโคบาลามิน( methylcobalamin )จะดูดซึมได้ดีมากในระบบทางเดินอาหาร 

หากใครกินมังสวิรัตน์อยู่เป็นประจำ แนะนำให้มองหาวิตามินบี12 ชนิดเม็ดอมหรือเคี้ยวในรูปแบบ methylcobalamin วันละ 1000-5000 mcg 

ส่วนรูปแบบการฉีดวิตามินบี12 เป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะในอเมริกา แม้กระทั่งผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร ต้องได้รับการฉีดวิตามินบี12 ด้วยเช่นกัน อืม!! เพิ่งจะรู้นะเนี่ย

สัญญานที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดวิตามินบี12
1.กล้ามเนื้ออ่อนแรง
2.กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
3.มีปัญหาการมองเห็น สายตาพร่ามัว
4.สมาธิสั้น มีปัญหาในการจดจำสิ่งต่างๆ หรือสับสนได้ง่าย
5.ชาบริเวณปลายมือหรือเท้า
6.เดินเซหรือมีปัญหาเรื่องการทรงตัว
7.เบื่ออาหาร
8.มีอารมณ์หดหู่หรือซึมเศร้า
9.ปวดเส้นประสาทบริเวณใบหน้า (Facial neuralgia)
10.เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง

ผลข้างเคียง : เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นผิวหนัง

ยังไม่พบรายงานว่า วิตามินบี12 ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แม้แต่การรับประทานในขนาดที่สูงมาก

วิตามินบี12 มีความเชื่อมโยงกับการนอนหลับ ภาวะซึมเศร้าเป็นอาการทางระบบประสาทจากการขาดวิตามินบี12 ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนไม่หลับและมีผลต่อกระทบต่อการผลิตฮอร์โมน
เมลาโทนิน หากร่างกายมีวิตามินบี12 ในปริมาณสูง จะสามารถเพิ่มการผลิตเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนหลับได้ดีขึ้น

ในประเทศไทย วิตามินบี 12 ขึ้นทะเบียนเป็นยา 2 ยี่ห้อคือ Neurobion®(นิวโรเบียน)และ Methylcobal®(เมธิลโคบอล)มีส่วนประกอบของ Vitamin B 12 แตกต่างกัน

ร่างกายมนุษย์แต่ละคนมีอัตราการดูดซึมสารอาหาร ยาหรือวิตามินไม่เหมือนกัน อาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน พอผ่านระบบย่อยอาหารที่เปรียบเสมือนศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก สารอาหารจะเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตผู้คนจากสุขภาพแข็งแรง กลายเป็นเจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงโรคร้ายแรง ใช้เวลาไม่นานนักหรือแรมปี เริ่มต้นจากตรงนี้คะ




เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์


ที่มา 

Methylcobalamin : Uses, Side Effects, Dosage, Precautions ...CARE Hospitalshttps://www.carehospitals.com › Medicine Blogs

Vitamin B12 Deficiency: Symptoms, Causes & TreatmentCleveland Clinichttps://my.clevelandclinic.org › health › diseases › 228...

Vitamin B12 or folate deficiency anaemia - Symptoms - NHSnhs.ukhttps://www.nhs.uk › conditions › symptoms

Detergent enzymes - WikipediaWikipediahttps://en.wikipedia.org › wiki › Detergent_enzymes

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

คอเลสเตอรอลกับยาลดไขมัน simvastatin

มีน้องผู้ชายอายุราว 45 ปี มาถามแป้งว่า ตรวจเลือดพบระดับคลอเลสเตอรอล 200 mg/dl หมออายุรกรรมจ่ายยากลุ่มสแตติน(statin)ชื่อ simvastatin 20 mg ครั้งละหนึ่งเม็ด ก่อนนอน
ควรกินยาดีหรือไม่(ยาสแตตินทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ)

แป้งเลยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไขมันคลอเลสเตอรอลฉบับย่อ
กะจิ๊ดริดมาให้อ่านกันนะคะ

คอเลสเตอรอล (cholesterol) มีความจำเป็นต่อชีวิต กล่าวคือ ไม่สามารถขาดคอเลสเตอรอลได้ ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบเยื่อหุ้มเซลล์ (20-25% ของผนังเซลล์) สร้างปลอกไมอีลิน (หุ้มเส้นประสาท) พัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ สังเคราะห์น้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมัน สังเคราะห์วิตามินดีซึ่งสำคัญต่อระดับภูมิคุ้มกัน+ดูดแคลเซียมและเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตฮอร์โมนเพศ(เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน)และคอร์ติซอล ฯลฯ

พูดถึงเรื่องการผลิตฮอร์โมนเพศเนี่ย ในผู้หญิงที่ออกกำลังกายเยอะ+มีการควบคุมอาหารโดยจำกัดไขมัน ปรากฎว่า ประจำเดือนขาดทุกราย พอเปลี่ยนกลับมากินอาหารที่มีไขมัน ประจำเดือนก็กลับมารอบปกติ 

ร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจาก 2 แหล่งคือ 
1.จากการสังเคราะห์ขึ้นเองในร่างกายที่ตับและลําไส้ โดยตับสังเคราะห์ประมาณร้อยละ 15 และลำไส้สังเคราะห์ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในแต่ละวัน 
2.ได้รับจากอาหารโดยเฉพาะที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ และสัตว์น้ำทะเลที่มีกระดอง( กุ้ง, หอย, ปลาหมึก, ปู) ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน ฯลฯ

ตามปกติผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลเฉลี่ยวันละ 1 กรัม และใช้วันละ 0.3 กรัม ร่างกายจะควบคุมให้มีคอเลสเตอรอล 150-200 มก./เดซิลิตร ค่า LDL น้อยกว่า 160 มก./เดซิลิตร ค่า HDL มากกว่า 40 มก./เดซิลิตร โดยควบคุมกระบวนการสังเคราะห์ในร่างกาย หากร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารมาก ร่างกายก็จะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลน้อยลง อ้าว!! เป็นแบบนี้เนอะ

คอเลสเตอรอลจะขนส่งโดยไลโปโปรตีน (lipoprotein) ซึ่งมี 2 กลุ่มคือ 
1.LDL (Low density lipoprotein) จะขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ 
2. HDL (High density lipoprotein) จะขนส่งคอแเลสเตอรอลจากเนื้อเยื่อไปกำจัดที่ตับ ตับจะใช้คอเลสเตอรอลสร้างน้ำดี ส่วนที่เหลือจะถูกขับทิ้งทางลงโถส้วมไป

การเรียกไขมันคอเลสเตอรอล มักเรียกตามกลุ่มของไลโปโปรตีน 

กรณีที่ร่างกายมี LDL-cholesterol ในหลอดเลือดสูง แต่ HDL-cholesterol ต่ำ เนื่องจาก LDL-cholesterol สามารถจับกับเซลล์ของกล้ามเนื้อหลอดเลือดแดงได้ ทำให้เกิดการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดมาก ส่งผลเลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้ยาก ในกรณีที่หลอดเลือดนั้นส่งเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หากเป็นหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง อาจทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดสมองอุดตันหรือตีบ

การศึกษาทางการแพทย์ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีผลขัดแย้งกันแต่ต่อมากลับลำเงียบๆก็มีเยอะ เช่น มีรายงานว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวไม่สัมพันธ์กับการมีคอเลสเตอรอลสูง และมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอังกฤษ ยอมรับว่า คำแนะนำที่ให้ลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้น ไม่ได้มาจากงานวิจัยที่สมบูรณ์

ปริมาณของคอเลสเตอรอลในร่างกายที่มากเกินความจำเป็นต่างหากที่นำไปสู่โรค และเซลล์ต่างๆของร่างกายมีความสามารถที่จะสร้างคอเลสเตอรอลได้เอง แม้ว่าเราจะไปยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลที่ตับ เซลล์ก็สามารถทำงานต่อได้

สมาคมแพทย์ทั่วโลกรวมถึงองค์การอนามัยโลก มีความเห็นตรงกันว่าระดับไขมันที่สูง เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก

ในปี 1987 ได้ถือกำเนิดยากลุ่มสแตติน(Statin)ตัวแรกออกสู่ตลาด พร้อมเปลี่ยนเกณฑ์ "ปกติ" จาก < 300 เป็น < 200

เกณฑ์ถูกเปลี่ยนเนื่องจากมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การให้ยา Statin ในคนที่มีระดับไขมันเฉลี่ยสูงเกิน 190 สามารถที่จะลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ ยาถึงได้รับการรับรองให้นำมาใช้

ในปี 1993 เปลี่ยนโฟกัสไปที่ LDL โดยกำหนดเกณฑ์ใหม่คือ
ค่าปกติ < 130 → ต่อมาลดเหลือ < 100 → และ < 70 ในกลุ่มเสี่ยงสูง

เนื่องจากเกณฑ์ถูกเปลี่ยนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการศึกษาใหม่ๆ ด้วยตัวยาที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันที่มากกว่า สามารถพิสูจน์ได้ว่า การลดไขมันลงไปที่ค่าเฉลี่ยใดค่าเฉลี่ยหนึ่ง มีประโยชน์มากกว่ากลุ่มที่ปล่อยค่าไขมันไว้ที่จุดนั้นๆ

ผลลัพธ์คือจำนวนผู้ "ต้องกินยา" จาก 0 คน (ก่อนปี 1987) เป็น 42 ล้านคน ในปี 2001

เรื่องคอเลสเตอรอลเป็นเรื่องของความเสี่ยง คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง คือมีความเสี่ยงสูง อาจจะเป็น 30% ที่จะเกิดโรคหัวใจ (จะเห็นว่าไม่ใช่ 100% แต่สูงกว่าคนอื่นที่มีไขมันต่ำกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่า)

ยาลดไขมันถือเป็นที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันได้ดี เพียงแต่ยาแถมผลข้างเคียงด้วยเสมอ หากเรายอมรับผลที่ตามมาได้ ควรกินยาสม่ำเสมอ และหยุดยาเมื่อไขมันลดลง แต่ดูท่าจะหยุดยาได้ยากเพราะเกณฑ์วัดระดับไขมันคอเลสเตอรอลสูง ปัจจุบันคือ ไม่เกิน 200 mg/dl

ส่วนแป้งมีค่าไขมันคอเลสเตอรอล 268 mg/dl,TG 68 mg/dl,HDL 98 mg/dl,LDL 158 mg/dl ไม่กินยาลดไขมันใดๆเพราะกลัวผลข้างเคียงของยา ที่ผ่านมาในอดีตแค่เจอผลข้างเคียงจากยาแก้แพ้ในรูปแบบฉีดและกินก็เหลือทนแล้วคะ

กลไกการสร้าง การดูดซึมและการกำจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆในร่างกายแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นการปรับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน หากอยากมีสุขภาพดี ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอหมอนานๆเพียงเพื่อได้คุยไม่กี่นาทีแล้วรับยากลับบ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่ทว่ายังมีหลายโรคที่ซับซ้อนจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อันนี้ก็แยกเป็นกรณีๆไปนะคะ

เปลี่ยนวิถีชีวิตโดยเลือกรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติเป็นหลัก โดยหลีกเลี่ยงน้ำตาล น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี สารเคมี อาหารแปรรูป(สังเกตง่ายๆคือ อาหารที่มองไม่ออกว่า หน้าตาเดิมเป็นอย่างไร) อาหารแช่แข็ง ออกกำลังกายแต่พอควร พักผ่อนให้เพียงพอและดีที่สุดคือ กินน้อยมื้อ( IF)




เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์







ที่มา

ข้อดี…ข้อเสียของคอเลสเตอรอลFood Science and Technology Association of Thailandhttps://fostat.org › communication › fscm046

เฟซบุ๊กนพ.ปริญญ์ วาทีสาธกกิจ
อายุรแพทย์โรคหัวใจ




วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้(ตอนจบ)

ตำรับอาหารของเบิร์นสไตน์เป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก

ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานบรรเทาและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ หรือลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน


ย้ำว่า ไม่ใช่อาหารลดน้ําหนัก แม้ว่าจะมีแนวโน้มว่าใครก็ตามที่ทําตามได้จะลดน้ําหนักได้


เนื่องจากจํากัดคาร์โบไฮเดรตอย่างมาก อาหารเบิร์นสไตน์จึงแตกต่างจากแนวทางการบริโภคอาหารสําหรับโรคเบาหวานที่ส่งเสริมโดยสมาคมทางการแพทย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงปัจจุบัน


อาหารเบิร์นสไตน์จํากัดจํานวนคาร์โบไฮเดรต 30 กรัมต่อวัน(ข้าวขาว 1 ทัพพี (โดยประมาณ) มีคาร์โบไฮเดรต 18 กรัม)


อาหารเบิร์นสไตน์ไม่มีกฎหรือแนวทางเกี่ยวกับโปรตีน ไขมัน หรือแคลอรี่ทั้งหมด 


อาหารของเบิร์นสไตน์ไม่ใช่อาหารลดน้ําหนัก แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดน้ําตาลในเลือด อาหารไม่สามารถพิจารณาได้ว่า "แคลอรี่ต่ํา" เนื่องจากไม่มีข้อจํากัด เกี่ยวกับปริมาณโปรตีนหรือไขมันที่คุณสามารถรับประทานได้


อาหารเบิร์นสไตน์ยังมีมุมมองที่แตกต่างของโปรตีนในอาหารมากกว่าแนวทางทางการแพทย์ส่วนใหญ่ ในขณะที่การจํากัดโปรตีนเป็นคําแนะนำหลักด้านโภชนาการโรคเบาหวานแบบดั้งเดิม ดร. เบิร์นสไตน์ไม่เห็นเหตุผลที่จะจํากัดการบริโภคโปรตีน เนื่องจากพอลดคาร์บลง เราจะไม่มีรู้สึกอิ่มหรือไม่มีเรี่ยวแรงเท่ากับตอนกินคาร์บเยอะๆ ดังนั้นการเพิ่มโปรตีนและไขมัน จะทำให้เรารู้สึกอิ่มและมีพลังงานมากขึ้นจากการเผาผลาญโปรตีนและไขมัน โดยที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

หมายเหตุ


1.ขนมอบและธัญพืชส่วนใหญ่ทำจากแป้งขัดสี ธัญพืชบางชนิดมีไขมันและน้ำตาลสูง เมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายจะย่อยและดูดซึมเป็นน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง


2.พืชตระกูลถั่วทุกชนิด 

ดร.เบิร์นสไตน์แนะนำให้จำกัดการบริโภคพืชตระกูลถั่วในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและใยอาหารสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ แม้ว่าถั่วจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น โปรตีนและแร่ธาตุ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเคร่งครัด การจำกัดปริมาณถั่วจึงเป็นสิ่งสำคัญ 


พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเมื่อย่อยแล้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด


3.ดร.เบิร์นสไตน์ไม่ได้ห้ามกินมะเขือเทศในการลดน้ำตาล แต่แนะนำให้จำกัดปริมาณที่บริโภคเนื่องจากมะเขือเทศมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเข้มงวด


4.น้ำหวานจากอะกาเว่ (Agave Nectar) หรือที่เรียกกันว่า น้ำเชื่อมอะกาเว่ คือน้ำหวานที่สกัดจากต้นอะกาเว่ ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งสามารถพบได้ในแถบเม็กซิโกและอเมริกาใต้

5. พืชตระกูลถั่ว (Legumes) คือพืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae (หรือ Leguminosae) ซึ่งมีลักษณะเป็นฝักและมีเมล็ดอยู่ภายใน ฝักและเมล็ดของพืชตระกูลถั่วสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด 


ตัวอย่างพืชตระกูลถั่วที่นิยมนำมาประกอบอาหาร ได้แก่

ถั่วเมล็ดแห้ง (Dry beans)เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วแดง, ถั่วดำ, ถั่วขาว, ถั่วเขียว, ถั่วลันเตาถั่วฝัก (Fresh beans)เช่น ถั่วฝักยาว, ถั่วพู, ถั่วแขกถั่วอื่นๆ เช่น ถั่วลิสง, ถั่วชิกพี (chickpea), ถั่วเลนทิล, ถั่วลิมา, ถั่วเนย


6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้าหนึ่งออนซ์ครึ่งหรือเบียร์หนึ่งกระป๋องมีแนวโน้มที่จะมีผลต่อระดับน้ําตาลในเลือดขึ้นเล็กน้อย


เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์





ที่มา :


Dr. Bernstein's Diabetes Diet: Pros, Cons, and How It Works


https://diatribe.org/diet-and-nutrition/which-yogurt-best-people-diabetes

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้

โรคเบาหวาน คือ 1 ใน 5 กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็น
กลุ่มโรคที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพกว่า 4 แสนล้านบาท หรือกว่า 75% ของงบประมาณสุขภาพทั้งหมดถูกใช้ไปสำหรับรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs 

ความอันตรายของโรคเบาหวานคือ
มักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาในกลุ่มโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายเรื้อรัง ฯลฯ 

ปัจจุบันเรารู้ว่า อาหารเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค NCDs
อาจดูเหมือนว่า มีความยุ่งยากในการเลือกอาหารการกิน ถ้าหากคุณไม่อยากป่วย ต้องไปหาหมอนั่งรอหลายชั่วโมงเพื่อพบแพทย์ แล้วได้คุยไม่ถึง 5 นาที สุดท้ายได้รับยากลับบ้านเป็นตะกร้า กินยารักษาโรคหนึ่ง กลับได้ของแถม(ที่ไม่มีใครอยากได้)คือ ผลข้างเคียงของยา เรียกว่า เจ็บป่วย 1 โรคแถมผลข้างเคียงอีก 1 โรคเสมอ

พึงระลึกไว้ว่ายาเป็นสารเคมี ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อรักษาและบรรเทาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นของมนุษย์ชั่วคราว ไม่ควรที่จะมีผู้ป่วยคนไหนต้องกินยารักษาโรคไปตลอดชีวิต ถึงแม้ในอดีตจะพบว่าโรคหลายอย่างรักษาไม่หาย แต่กลับไม่ใช่โรคเบาหวานชนิดที่ 1
(ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต)

Richard K.Bernstein (ริชาร์ต เค เบิร์นสไตน์)เป็นเด็กที่มีน้ำหนักมากและป่วยหนัก ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในปี 1946 เมื่ออายุ 12 ปี ในเวลานั้นแผนการรักษาโรคคือ อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง การฉีดอินซูลินทุกวันและพบแพทย์ตามนัดทุกเดือนเพื่อตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด เบิร์นสไตน์ประสบกับภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเป็นเวลาหลายปี ทั้งๆที่พยายามปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด 

ในปี 1969 ขณะนั้นอายุ 40 ปี ก่อนที่จะเปลี่ยนอาชีพจากวิศวกร เบิร์นสไตน์ได้ซื้อเครื่องวัดระดับน้ําตาลในเลือด ซึ่งในอดีตจะใช้เฉพาะโรงพยาบาลเท่านั้น เขาเริ่มทดสอบระดับน้ําตาลในเลือดตลอดทั้งวัน เพื่อพยายามหาว่าปัจจัยใดที่จะทําให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นหรือลดลง 

เขาพยายามศึกษาหาแนวทางอื่นๆที่น่าจะจัดการกับเบาหวานได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยเช็คน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องว่าสัมพันธ์กับอาหาร กิจวัตรประจำวันและปริมาณอินซูลินที่ใช้อย่างไร แล้วจึงปรับเรื่องอาหาร 

เบิร์นสไตน์สามารถจัดการระดับน้ำตาลได้ด้วยการผสมผสานระหว่างอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ํา(การแพทย์สมัยก่อนจำเป็นต้องให้กินอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงเนื่องจากเมื่อฉีดอินซูลินเข้าไป ระดับน้ำตาลจะลดฮวบฮาบ)การออกกําลังกาย และอินซูลินในปริมาณที่น้อยกว่าอาหารที่รับประทาน ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างของโรคเบาหวานในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว

ในขณะที่คำแนะนำทางการแพทย์ยังถือว่าสารอาหารหลักคือคาร์โบไฮเดรต แต่เบิร์นสไตน์ใช้แนวทางโลว์คาร์บ(คาร์โบไฮเดรตต่ำ)เน้นไปที่โปรตีนและไขมัน ทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ดีในระดับที่วงการแพทย์เคยเชื่อว่า‘‘ไม่น่าจะเป็นไปได้’’

เบิร์นสไตน์ได้พยายามเสนอแนวคิดใหม่ แต่ไม่ได้รับการยอมรับเนื่องจากไม่ใช่แพทย์ เรียกได้ว่า พูดไปเถอะ พูดเท่าไหร่ก็ไม่มีใครสนใจฟังอยู่ดี(อันนี้แป้งเติมเอง)

จึงได้ตัดสินใจเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์เมื่ออายุ 45 ปี โดยเรียนต่อเฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อและได้รับปริญญาจากวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เปลี่ยนสถานะจากวิศวกรมาประกอบวิชาชีพเวชกรรมในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist)

นพ.เบิร์นสไตน์ ได้ใช้แนวทางโลว์คาร์บในการรักษาให้กับผู้เป็นเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ทำให้ผู้ป่วยควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระยะสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมจำนวนมาก

นพ.เบิร์นสไตน์ยังอุทิศตนให้ความรู้ในการจัดการเบาหวานกับประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังได้เขียน Dr. Bernstein’s Diabetes Solution ซึ่งเป็นทั้งหนังสือและตำราสำหรับผู้เป็นเบาหวานและบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

หนังสือดร. Bernstein's Diabetes Solution ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1997 และอัปเดตในปี 2011 เพื่อรวมข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น ปั๊มอินซูลิน เครื่องวัดน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง(CGM)ยา รวมถึงอินซูลินที่สูดดมและสูตรอาหารได้กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับผู้ป่วยและแพทย์ทั่วโลก 

หนังสือเล่มนี้ท้าทายคําแนะนําด้านอาหารคาร์โบไฮเดรตและสนับสนุนการบําบัดโรคเบาหวานด้วยการจํากัดคาร์โบไฮเดรตแทนด้วยโปรโตคอลอินซูลินโดยละเอียดและกลยุทธ์การจัดการไลฟ์สไตล์มุ่งเป้าไปที่การบรรลุระดับน้ําตาลในเลือดให้เป็นปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้สําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เย้!!

Bernstein เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 15 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ศิริอายุรวม 90 ปี แสดงว่า แนวทางการรักษาภาวะเบาหวานคือ โลว์คาร์บ(คาร์โบไฮเดรตต่ำ)เน้นโปรตีนและไขมัน เพิ่งเริ่มมีมา 35 ปีนี่เองนะคะ

หมายเหตุ 

1.โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus)เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบในเด็ก  ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องได้รับอินซูลินไปตลอดชีวิต ในรูปแบบยาฉีด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปกติที่สุด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดอินซูลิน ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

2.โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus)เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนร่วมด้วย

การวินิจฉัยเบาหวาน ทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี ดังต่อไปนี้
 1. มีอาการโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ร่วมกับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ถ้ามีค่า ≥200 มก./ดล.
 2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อย่างน้อย 8ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล. 
 3. การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่ 2 ชั่วโมง ถ้ามีค่า ≥ 200 มก./ดล.
 4. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ≥ 6.5% 

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกือบ 50% จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตลอดชีวิต บางคนอาจสูญเสียการมองเห็น ในขณะที่หลายคนเกิดโรคไตวายเรื้อรังจนต้องฟอกไตตลอดชีวิต

3.แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist) คือแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อและฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน, โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์, โรคกระดูกพรุน, และภาวะผิดปกติของต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไต,วัยหมดประจำเดือน

4. เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring หรือ CGM) คืออุปกรณ์ที่ใช้ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเจาะเลือดซ้ำๆ เหมือนเครื่องตรวจน้ำตาลแบบเดิม CGM ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพสามารถติดตามระดับน้ำตาลในเลือดได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรักษาได้ทันท่วงที

#เบิร์นสไตน์,Berstein, Richard K.Bernstein (ริชาร์ต เค เบิร์นสไตน์,NCDs,โรคเบาหวาน,โลว์คาร์บ, คาร์โบไฮเดรตต่ำ,NCD,CGM,แป้งปังปอนด์

ที่มา :

Diabetes pioneer Dr Richard Bernstein passes away at age of ...diabetes.co.ukhttps://www.diabetes.co.uk › news › apr

นพ.ชัชวาล ลีลาเจริญพร Phimai Diabetes Remission Training Center

Dr. Bernstein's Diabetes Diet: Pros, Cons, and How It WorksVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › bernsteins-diabetes-d...

โรคเบาหวาน คืออะไรสมาคม โรค เบาหวาน แห่ง ประเทศไทยhttps://www.dmthai.org › index.php › 2018-diabates-31

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568

วิตามินกับการดูแลสุขภาพและผิวพรรณอย่างยั่งยืน

มือของแป้งในวัย 51 ปีที่ใช้ทำอาหาร งานบ้าน ล้างจาน(เพิ่งจะมีเครื่องล้างจานได้6 เดือนเศษ)ซักผ้าด้วยมือ 40%(เคยเห็นเสื้อผ้าของรุ่นน้องที่ใช้เครื่องซักผ้า+อบผ้า 100% เสื้อผ้าจะดูโทรมและเก่าเร็วมาก)ถึงแม้ว่ามือจะแห้งจนเกิดจมูกเล็บเพราะการล้างมือจากงานครัวบ่อยเกินไป แต่ฝ่ามือและเล็บรวมไปถึงฝ่าเท้าของแป้งมีสีชมพูนะคะ

แป้งเคยสังเกตเห็นนิ้วมือของน้องๆอายุ 40 กว่าปีหลายคน ซึ่งไม่ได้สนใจกินวิตามิน โฟกัสเพียงแค่อาหารสุขภาพ พบว่า บริเวณฝ่ามือและเล็บเป็นสีขาว ไม่ได้เป็นสีชมพูเหมือนแป้ง ซึ่งสามีแป้งอายุ 57 ปี ก็มีฝ่ามือและเล็บเป็นสีชมพูเช่นเดียวกัน

Longevity medicine คือศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนเพื่ออายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากเพราะคนเริ่มเข้าสู่วัยชราเพิ่มขึ้น เด็กเกิดใหม่มีอัตราน้อยลงอย่างน่าใจหาย ประเทศเดนมาร์กเพิ่งขยายอายุเกษียณจากเดิม 67 เป็น 70 ปี ภายในปี 2040 หลายๆประเทศในยุโรปแต่ละบ้านมีบุตรเพียงคนเดียวหรือครึ่งคน ซึ่งเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) ไม่ได้เป็นสาขาที่แพทยสภารับรองในประเทศไทย แพทย์ที่อ้างว่าเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โดยไม่ได้ผ่านการอบรมและรับรองจากแพทยสภา อาจมีความผิดตามกฎหมายหรือเปล่านะ 

แพทยสภาไทย พ.ศ 2567 มี 94 สาขาความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง เป็นสาขาหลัก 41 สาขาและอนุสาขา 53 สาขา ภายใต้อนุกรรมการฝึกอบรมและสอบของราชวิทยาลัยและสมาคม
โดยมีระยะเวลาการอบรม ตั้งแต่ 3-5 ปี ในสาขาหลักและเรียนต่ออนุสาขาเพิ่มอีก 2 ปี ปัจจุบันมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กว่า 40,000 คนจากแพทย์ทั่วประเทศ 76,000 คน โดยจบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญปีละกว่า 2,000 คน แต่ทว่าเวชศาสตร์ชะลอวัยไม่รวมอยู่ในรายชื่อสาขาเหล่านี้

แป้งกินวิตามินคุณภาพสูงจากอเมริกาเป็นเวลา 10+ปี จากคนที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจากโรคโลหิตจาง(เล็กน้อย)และพาหะธารัสซีเมียประกอบกับกินข้าวน้อยมาตั้งแต่เด็ก จึงมีส่วนทำให้เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ยิ่งเวลานั่งรถกับเพื่อนๆไปต่างจังหวัด ไม่ว่าใกล้หรือไกล เวลาจอดแวะพักกลางทาง ตอนที่ได้ออกมายืนหายใจนอกรถ จะรู้สึกสดชื่น หายใจโล่งกว่าตอนนั่งในรถอย่างเห็นชัดเจน สรุปคือ ไม่ว่ามีกิจกรรมอะไรก็ตามที แป้งจะเหนื่อยล้ากว่าใครเพื่อน

10 ปีที่แล้วจำได้ว่า พอเริ่มกินวิตามินได้เพียง 3-4 เดือน เหมือนเปิดโลกใบใหม่  พลังงานที่ล้นเหลือเฟือจากเดิมที่ไม่เคยจะมี วนเวียนในร่างกายแป้ง อาจเรียกได้เลือดสูบฉีดไปทั่วทุกเซลล์ การกินวิตามินหลายตัวต่อเนื่องมีส่วนช่วยในเรื่องการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย 

การที่เลือดไหลเวียนดี จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ช่วยกำจัดของเสียเกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานออกจากเซลล์ แถมยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายจึงรู้สึกสดชื่น มีพลังงาน ทำให้มีสุขภาพดีมีผิวพรรณสดใส อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงของโรค NCD เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดฯลฯ
เมื่อเดือนที่แล้ว สามีแป้งผู้ซึ่งกินวิตามินได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่แป้งกินเนื่องจากมีผลข้างเคียงจากวิตามิน เช่น ผื่นคัน ท้องอืด กรดไหลย้อน ฯลฯ ได้ตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจเอคโค่หัวใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือดบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและบีบตัวดีมาก ไม่เหมือนคนอายุ 57 ปีทั่วไป พร้อมกับถามย้ำถึง 3 ครั้งว่า‘‘ไม่มีโรคประจำตัวหรือกินยารักษาโรคอะไรเลยเหรอ‘‘ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ โรคยอดฮิตของคนสูงอายุ สามีแป้งก็ไม่เป็น ทั้งๆที่แกขี้เกียจออกกำลังกายสุดๆ(การออกกำลังกายจะช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและเลือดไหลเวียนดีขึ้น)

ผิวพรรณของผู้หญิงจะสวยที่สุดแค่ตอนอายุ 20 กว่าปีเท่านั้น
จากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน พอย่างเข้าอายุ 30 ปี ทุกอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไป ผิวไม่เปล่งปลั่งเหมือนก่อน แต่สำหรับผิวของคนกินวิตามินสม่ำเสมออย่างแป้ง ยังคงนวลเนียนเปล่งปลั่งสดใสอยู่เลย(ไม่ได้คิดไปเองเพราะมีแต่คนชม) มีสายตาปกติ ไม่ต้องใส่แว่นเหมือนคนวัยเดียวกัน หากเกิดบาดแผลเช่น มีดบาดนิ้วมือขณะทำอาหาร แผลจะสมานหายเร็วภายใน 2 วัน เวลาออกกำลังกายก็ไม่เคยรู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเพราะกินวิตามินเพิ่มพลังงานหลายตัว

5 ปีที่แล้วช่วงโควิด แป้งฉีดวัคซีนเเอสตร้าเพียงเข็มเดียว มีผลข้างเคียงคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น 7 กิโลทั้งๆที่กินเท่าเดิม แถมพลังงานล้นจนนอนไม่หลับ รู้สึกได้ว่าเลือดไหลเวียนดีมาก ทำงานบ้านแบบไม่ต้องพักเหนื่อยกลางคันเหมือนเมื่อก่อน มีเรี่ยวแรงเยอะจนต้องงดวิตามินทุกตัว เป็นแบบนี้หลังฉีดวัคซีนร่วม 8 เดือน จนหมดฤทธิ์วัคซีน คาดว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับแป้ง เป็นการกระตุ้นแหล่งพลังงานในเซลล์ที่มีอยู่เดิมจากการกินวิตามินคุณภาพสูงมาหลายปี

NB.1.8.1 คือโควิดสายพันธุ์ล่าสุดในปี 2568 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงไทยถือเป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อได้รวดเร็วมาก แม้จะมีอาการไม่รุนแรงในผู้ป่วยทั่วไป แต่กลุ่มเสี่ยงยังคงต้องระวังเป็นพิเศษ ล่าสุดเห็นเพื่อนพยาบาลลงสตอรี่ว่า มีผู้ป่วยโควิด 2 คน คนแรกแจ้งว่า สบายดี ไม่มีไข้ แต่ตรวจเจอไข้ เอกซเรย์ปอด พบปอดอักเสบ ส่วนอีกคน ใส่ท่อช่วยหายใจเรียบร้อย ฤดูฝนมีสภาพอากาศชื้นสูง เชื้อโรคจึงเติบโตและแพร่กระจายได้ง่าย วอร์ด ICU รพ.รัฐหลายที่และวอร์ดอายุรกรรมแทบแตก คุณหมอราวน์คนไข้ฉ่ำจนไม่มีเวลาพักกินข้าวเลยคะ

ทุกคนมีทางเลือกที่จะดูแลร่างกายให้สมบูรณ์และแข็งแรงได้หลายแบบ เช่น ออกกำลังกายแต่พอควร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล ทำ IF 16/8 ไม่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ มองโลกในแง่ดี ฯลฯ 

การเลือกกินวิตามินที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพและผิวพรรณ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตของแป้ง เพราะไม่เคยเจ็บป่วยแม้เพียงเล็กน้อยหรืออาการหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล(ยกเว้นการแพ้อาหารในอดีตที่จำเป็นต้องฉีดยาที่รพ.แล้วกลับบ้าน ซึ่งแป้งเพิ่งทราบที่มาและสาเหตุจากการวิเคราะห์ด้วยตัวเองเมื่อต้นปี 2568 นี่เอง จากนี้ไปภูมิแพ้จ๋า ลาก่อน)แถมไม่ต้องกินยารักษาโรคจากระดับภูมิคุ้มกันที่สูงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีโควิดกี่ซีซั่น ไม่เคยติดสักครั้ง ซึ่งไม่ใช่ความบังเอิญใดๆทั้งสิ้น สำหรับคนที่ไม่สนใจเรื่องวิตามินอาจมองบน แต่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ปรากฏกับแป้งแล้วนะคะ

การมีชีวิตอย่างยืนยาวควบคู่ไปกับการมีร่างกายแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม สุขภาพที่ออกแบบเองได้มีอยู่จริงคะ(ผลลัพธ์ขึ้นกับสภาพร่างกายและการดูดซึมของแต่ละบุคคล)









หมายเหตุ
1.เอคโคหัวใจ (Echocardiogram)เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ เช่น การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ขนาดของห้องหัวใจ การไหลเวียนเลือดในหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่างๆ ที่เข้า-ออกจากหัวใจ
2. โรค NCDs หรือ non-communicable diseases หรือที่เรามักเรียกว่า “โรคที่เราสร้างขึ้นมาเอง” เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเรา โดยจะมีการสะสมอาการอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะยิ่งทำให้เกิดการเรื้อรังของโรคตามมา เช่น
  •   โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
    •    โรคความดันโลหิตสูง: แรงดันเลือดสูง
    •    โรคไขมันในเลือดสูง: ระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ
    •    โรคหลอดเลือดหัวใจ: หลอดเลือดหัวใจตีบหรือแข็ง
    •    โรคหลอดเลือดสมอง: ปัญหาหลอดเลือดในสมอง
    •    โรคมะเร็ง: เซลล์ในร่างกายเติบโตผิดปกติ
    •    โรคถุงลมโป่งพอง: ปอดสูญเสียความยืดหยุ่น
    •    โรคไต: ไตทำงานผิดปกติ 
3. IF ย่อมาจาก "Intermittent Fasting" หมายถึง การอดอาหารเป็นช่วงๆ หรือการกำหนดช่วงเวลาในการอดอาหารและรับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก การทำ IF ไม่ได้หมายถึงการงดอาหารทั้งหมดในแต่ละวัน แต่เป็นการจำกัดเวลาที่สามารถทานอาหารได้

คำว่า Fasting(ฟาสติ้ง) แปลว่า อดอาหารหรืองดกิน

หลักการทำงานของ IF
1.ลดปริมาณการกิน การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารทำให้คุณกินน้อยลง

2.กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ในช่วงที่อดอาหาร ร่างกายจะใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทนน้ำตาล 3.ลดฮอร์โมนอินซูลิน ฮอร์โมนอินซูลินมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดไปเป็นไขมัน การลดระดับอินซูลินจะช่วยลดการสะสมไขมัน 4.กระตุ้นฮอร์โมนอื่น ๆ การทำ IF อาจช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน เช่น Growth Hormone และ Norepinephrine


#แป้งปังปอนด์ไดอารี่

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

12 อาหารที่คนวัย 50+ปี ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่ทําให้เกิดแก๊สในคนๆหนึ่ง อาจไม่ทําให้เกิดแก๊สในอีกคนย่อมเป็นได้ จากความแตกต่างด้านจุลินทรีย์ชนิดดีหรือเรียกว่า โปรไบโอติกหรือเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร มีจำนวนมากน้อยไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับการแพ้ยา อาหารหรือวิตามิน บางคนกินแล้วไม่แพ้ แต่บางคนกินไม่ได้เพราะมีอาการแพ้เป็นต้น

1.กล้วยหอม  อุดมไปด้วยไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรต(แปลงเป็นน้ำตาล)ซึ่งหมักโดยจุลินทรีย์ชนิดดีในลําไส้ระหว่างการย่อยอาหาร สารอาหารประเภทนี้ใช้เวลานานกว่าในการย่อย นําไปสู่การหมักที่ยาวนานขึ้น มีผลทำให้ท้องอืด แต่จะท้องอืดมากน้อยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

กล้วยอาจทําให้เกิดแก๊สในบางคนเนื่องจากผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยเส้นใยที่ละลายน้ําได้ เส้นใยชนิดนี้ไม่สามารถย่อยได้ง่ายในลําไส้ ซึ่งอาจนําไปสู่การก่อตัวของแก๊ส

กล้วยยังมีฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ําตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในผลไม้ กระตุ้นให้ท้องอืดได้ อาการเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหากบริโภคมากเกินไป 

2.แครอท
แครอทอาจทำให้เกิดแก๊สในบางคนและกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องเมื่อรับประทานดิบในคราวเดียว เนื่องจากมีไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรตบางชนิด ถึงแม้จะนำมาปั่นเป็นน้ำแครอท ไฟเบอร์ยังมีเยอะอยู่ดี ดื่มเข้าไปกลายเป็นจุกท้องทันที

แครอทมีไฟเบอร์สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการย่อยอาหาร แต่อาจทำให้เกิดแก๊สได้เมื่อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยไฟเบอร์ จากนั้นจะผลิตแก๊สเป็นผลพลอยได้ ทำให้เกิดตะคริวในช่องท้องและท้องอืด 

3.ถั่ว 
กระตุ้นให้เกิดแก๊สได้ ปริมาณไฟเบอร์ในถั่วเพียง 100 กรัม จะมีผลทำให้ท้องอืดเนื่องจากมีราฟิโนส(Raffinose) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ง่าย ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ใหญ่เนื่องจากขาดเอนไซม์เฉพาะในลำไส้ ส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เกิดการหมักจนเกิดแก๊สต่างๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไฮโดรเจน โดยเฉพาะคนสูงอายุพอกินถั่วเข้าไป จะมีลมในท้องมากขึ้นจนผายลม และบางคนมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

มีหลายวิธีที่สามารถลดแก๊สที่เกิดจากถั่วได้ เช่น แช่น้ำเป็นเวลา 12 ชั่วโมงก่อนปรุงอาหาร 

โดยทั่วไปอาหารจะใช้เวลา 14 - 58 ชั่วโมงในการเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหาร โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 28 ชั่วโมง อาหารบางชนิดย่อยได้เร็วกว่าในขณะที่อาหารประเภทโปรตีน ไฟเบอร์และไขมันสูง มักจะใช้เวลานานกว่า

ปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคกรดไหลย้อน (GERD) โรคลำไส้อักเสบ (IBD) กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) และโรคไส้ใหญ่โป่งพอง อาจส่งผลต่อเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหาร

ระยะเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารของแต่ละบุคคล จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นิสัยการกิน(อาหารแปรรูป น้ำตาล ยาปฏิชีวนะ) ความเครียด ปัญหาสุขภาพและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

4.ผักชะอม โดยเฉพาะชะอมในฤดูฝน จะมีรสเปรี้ยวและกลิ่นฉุน
มีกรดยูริกมากเป็นพิเศษ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเป็นผลมาจากสารพิวรีน (Purine) โดยผักชะอมนั้นมีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง โดยเฉพาะผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจะค่อยๆ สูงขึ้น

5. ผลิตภัณฑ์จากนม
แลคโตสเป็นน้ําตาลในนมและผลิตภัณฑ์นมส่วนใหญ่ รวมถึงชีสครีมชีสและไอศกรีม

นม โยเกิร์ตและไอศกรีมมีน้ําตาลนมแลคโตสสูง แลคโตสต้องการเอนไซม์ที่เรียกว่า ‘‘แลคเตส‘‘ เพื่อย่อยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผลิตในลําไส้เล็ก หากร่างกายผลิตแลคเตสไม่เพียงพอ เมื่อเคลื่อนตัวไปถึงลําไส้ใหญ่ ดังนั้นน้ําตาลแลคโตสที่ไม่ได้ย่อยจะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลําไส้ เกิดการปล่อยไฮโดรเจนและกรดไขมันสายสั้นซึ่งผลิตแก๊ส อาจทําให้เกิดลม ท้องอืดท้องเฟ้อได้

6. หอมหัวใหญ่
หัวหอมมีสารประกอบที่เรียกว่า‘‘ฟรุกแทน’’ ฟรุกแทนเป็นโอลิโกแซ็กคาไรด์ที่ประกอบด้วยโมเลกุลฟรุกโตส เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหาร พืชผักตระกูลหอม ไม่ว่าจะเป็นหัวหอมแดง หัวหอมใหญ่ หรือต้นหอม มักดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในลำไส้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจนกระตุ้นกรดไหลย้อนและท้องอืด

อันนี้เจอกับครอบครัวตัวเองเมื่อกลางปีที่แล้ว แป้งเห็นว่าหอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ร้อนและบรรเทาอาการหวัด เพราะในหัวหอมใหญ่มีปริมาณวิตามินซีสูง ช่วยเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เผอิญแม่ป่วยเป็นไข้หวัดอยากให้แม่หายเร็วๆจึงแนะนำให้แม่ดื่มน้ำแอปเปิ้ล + หอมหัวใหญ่ปั่น แม่ดื่มตอนเย็นแล้วเข้านอนตอนสี่ทุ่ม จากนั้นแม่ไม่ได้นอนยันเช้าเพราะไอตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าจึงไปหาหมอที่คลีนิคหมอตรวจวินิจฉัยว่า เป็นโรคปอดอักเสบ(แม่อายุ 72 ปี) โดยไม่ได้เอกซเรย์เนื่องจากเป็นคลินิกเล็กๆ ให้ยาฆ่าเชื้อและยาแก้ไอมากิน

แป้งบอกกับแม่ว่า แม่ไม่ได้เป็นโรคปอดอักเสบตามที่หมอแจ้ง แต่แม่เป็นกรดไหลย้อนจากหอมหัวใหญ่+แอปเปิ้ล ไม่ต้องกินยาที่หมอจ่ายมา เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้น พอช่วงเย็นแป้งโทรไปถามอาการอีกที
ปรากฎว่า แม่หายไอแล้ว เริ่มสบายดีเหมือนก่อนจะกลายเป็นคนป่วยซ้ำซ้อนโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะลูกสาวคะ

7.ผักตระกูลกะหล่ำ
ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี บรอกโคลี หรือกะหล่ำดอก ล้วนมีคาร์โบไฮเดรตที่เรียกว่า ‘’แรฟฟิโนส‘‘ ประกอบด้วยน้ำตาล 3 ชนิด คือ ฟรุกโตส กลูโคส และกาแลกโทส ซึ่งร่างกายจะไม่สามารถย่อยในระบบทางเดินอาหารได้จนกว่าผักเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อที่จะถูกย่อย แต่กว่าจะย่อยได้หมด กากอาหารจากผักจะเกิดการหมักหมมจนกลายเป็นแก๊ส หากไม่อยากท้องอืด ควรทำให้สุกก่อนกิน

8.ธัญพืช
ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์หรือข้าวไรย์ ต่างก็มีส่วนประกอบของฟรุกแทนที่ไม่สามารถย่อยได้เองตามธรรมชาติ และเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่แพ้กลูเตน(โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบการย่อยทางพันธุกรรม จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับกลูเตนซึ่งไม่สามารถย่อยในลำไส้เล็กได้)แต่ถึงแม้จะไม่ได้แพ้กลูเตนเลยก็ตาม เส้นใยจากพืชที่ไม่ละลายแบบนี้ จะถูกหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ นำไปสู่การเกิดแก๊สเป็นจำนวนมากได้อยู่ดี 

9.ฟักทองและเมล็ดฟักทอง 
ฟักทองมีไฟเบอร์สูง การบริโภคอาจส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารและมีส่วนทําให้ปวดท้อง ท้องอืด 

10.ผลไม้หลายชนิด มีน้ําตาลฟรุกโตสตามธรรมชาติและน้ําตาลแอลกอฮอล์ซอร์บิทอล ซึ่งร่างกายมักมีปัญหาในการย่อย ตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ล ลูกพีช ลูกแพร์ ลูกพรุน ฯลฯ

ผลไม้บางชนิดยังมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ําได้ ซอร์บิทอลและเส้นใยที่ละลายน้ําได้ต้องผ่านลําไส้ใหญ่ ซึ่งแบคทีเรียจะย่อยสลายกลายเป็นก๊าซไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน

11. อาหารที่มีรสเค็มจัด โดยปกติโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย หากร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมน้ำเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน(ผู้หญิงที่สิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องมาจากการที่รังไข่หยุดการสร้างฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) จะสังเกตเห็นได้ชัดเจน

หมายเหตุ ผู้หญิงจะได้รับการวินิจฉัยว่า เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเมื่อประจำเดือนไม่มาต่อเนื่องครบ 1 ปี ซึ่งวัยหมดประจำเดือนสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 45 - 55 ปี 

12. มันเทศ
อาจทําให้เกิดแก๊สได้เพราะอุดมไปด้วยแป้ง เป็นที่รู้กันดีว่า แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ย่อยได้ช้ามาก ซึ่งนําไปสู่การผลิตแก๊สมากขึ้นในลําไส้ใหญ่ 

เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนไปเกี่ยวกับเอนไซม์ย่อยอาหาร(enzyme มาจากภาษากรีก แปลว่า " หมัก " )ซึ่งกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และตับอ่อน ล้วนสร้างเอนไซม์ย่อยอาหารทั้งสิ้น แต่จะสร้างลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อาหารหรือพืชผักผลไม้ที่เคยกินได้ฉ่ำ กลับต้องงดหรือหลีกเลี่ยง 

มนุษย์ทุกคนหลีกไม่พ้นความเสื่อมอันเกิดจากวัยที่มากขึ้น เห็นได้จากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี การสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมอวัยวะลดลง ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมหาศาลในร่างกายที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รับรู้ได้จากความรู้สึกและสัญญาณบางอย่างในผู้ที่ช่างสังเกตเท่านั้น



ที่มา :

Intestinal gas Causes - Mayo ClinicMayo Clinichttps://www.mayoclinic.org › causes › sym-20050922

#แป้งปังปอนด์ไดอารี่

"ผมจำได้ว่ามีแสงวาบ ๆ คล้ายแสงคาไลโดสโคปเข้าตา จนแสบตาจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย“

เมื่อคาลัม แมคโดนัลด์ ชายหนุ่มชาวอังกฤษวัย 23 ปี เดินทางมาถึงชายแดนเวียดนาม เขาอ่านเอกสารราชการที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือ ...

บทความยอดนิยม